กำลังโหลด......

ทำความรู้จักเอชไอวี

เพิ่มบทความเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2023

ทำความรู้จักเอชไอวี

เอชไอวี (HIV) ซึ่งย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus คือเชื้อไวรัสที่มุ่งโจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ ที่เป็นกลไกการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกายต่อโรคภัยไข้เจ็บ เอชไอวีนี้จะทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า ซีดีโฟร์ (CD4) หรือ เซลล์ T-helper ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อเอชไอวีทำให้ส่วนนี้อ่อนแอลง ร่างกายจะมีความเสี่ยงต่อการติดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ง่าย และทำให้ป่วย หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที

ความสำคัญของความเข้าใจเอชไอวี

เอชไอวี ถือเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญระดับโลก ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ในปี 2564 มีผู้คนติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกประมาณ 38 ล้านคน และมีผู้ที่มีภาวะเอดส์ประมาณ 3.5 ล้านคน การตระหนักรู้และการศึกษาเกี่ยวกับเอชไอวีมีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนี้

  • ช่วยให้ทุกคนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเอชไอวี ทราบถึงสาเหตุ อาการ วิธีการติดต่อ การป้องกัน และการรักษาเอชไอวีที่จะทำให้สามารถป้องกันตนเองจากการติดเชื้อเอชไอวี และดูแลตนเองได้หากพบว่าติดเชื้อเอชไอวี
  • ช่วยลดการแพร่กระจายของเอชไอวี ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเอชไอวี จะมีความระมัดระวังในพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้ยาเสพติดทางเส้นเลือด เป็นต้น ช่วยให้ลดโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อ รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน
  • ลดการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี การตระหนักรู้เกี่ยวกับเอชไอวี จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติ ไม่ได้ติดเชื้อกันง่ายๆ และหากได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง สามารถมีบุตรและมีครอบครัวได้เหมือนคนทั่วไป

การตระหนักรู้และการศึกษาเกี่ยวกับเอชไอวี สามารถทำได้ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น สื่อต่างๆ หน่วยงานสาธารณสุข สถานศึกษา ชุมชน และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องควรมีบทบาทในการส่งเสริม และสนับสนุนการตระหนักรู้และการศึกษาเกี่ยวกับเอชไอวี เพื่อให้ทุกคนสามารถมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเอชไอวี และสามารถป้องกันตนเองจากโรคได้ตลอดไป

 

 

เอชไอวีมีวิธีการแพร่เชื้ออย่างไร

เอชไอวีนั้น ส่วนใหญ่ถูกส่งต่อเชื้อผ่านสารคัดหลั่งในร่างกาย ซึ่งแต่ละปัจจัยจะมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไปในการแพร่เชื้อ ได้แก่

  • การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อไวรัสเอชไอวีโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัยป้องกัน
  • การแบ่งปันเข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีด สำหรับเสพยาเสพติดประเภทฉีดเข้าเส้นเลือด
  • การแพร่เชื้อจากแม่ที่มีเชื้อสู่ลูกน้อยในครรภ์ระหว่างการคลอด การผ่าตัด หรือการให้นม
  • เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ถูกเข็มทิ่มตำหรือมีดบาดมือจากผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ส่วนการสัมผัสใกล้ชิด จับมือ กอด จูบ รับประทานอาหารร่วมกัน ใช้ห้องน้ำร่วมกัน ใช้ภาชนะและช้อนส้อมร่วมกัน เป็นพฤติกรรมที่ไม่สามารถทำให้ติดเชื้อเอชไอวี

อาการของเอชไอวีในแต่ละระยะ

ถึงแม้ว่าเอชไอวี จะเป็นไวรัสที่ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว และทำให้ร่างกายอ่อนแอได้ง่าย แต่การที่คนๆ หนึ่งติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้แปลว่าคนๆ นั้นจะเป็นโรคเอดส์เสมอไป ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีในระยะแฝงอาจไม่มีอาการใดๆ เลยเป็นเวลาหลายสิบปี หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ต่อมน้ำเหลืองโต น้ำหนักลดเล็กน้อย อ่อนเพลีย เหงื่อออกตอนกลางคืน เป็นต้น อาการของการติดเชื้อเอชไอวีสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะเฉียบพลัน (Acute HIV Infection)

เป็นอาการของการติดเชื้อเอชไอวีระยะแรก จะมีระยะฟักตัวอยู่ที่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากได้รับเชื้อเอชไอวี ในบางรายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีไข้สูง หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโตผิดปกติ เป็นร้อนในหรือมีแผลในช่องปาก เหงื่อออกมากในตอนกลางคืน เป็นต้น โดยอาการเหล่านี้เรียกว่า Acute Retroviral Syndrome หรือ ARS เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อเอชไอวี อาการเหล่านี้มักจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ อาการ ARS นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนที่ติดเชื้อเอชไอวี ประมาณ 30-50% ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการของ ARS ในช่วงแรกๆ ของการติดเชื้อ

ระยะแฝง (Asymptomatic Stage)

เป็นอาการของการติดเชื้อเอชไอวีระยะแฝง ในระยะนี้ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่จะไม่มีอาการใดๆ หรืออาจมีเพียงอาการเล็กน้อย เช่น น้ำหนักลด อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ต่อมน้ำเหลืองโต ฝ้าขาวในช่องปาก ผิวหนังอักเสบ เป็นต้น ในระยะนี้ เชื้อเอชไอวียังคงแบ่งตัวเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะค่อยๆ ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว หรือระบบภูมิคุ้มกันให้อ่อนแอลงทีละน้อย

ระยะเอดส์

เมื่อระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลงจนต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร โรคเอชไอวีจะเข้าสู่ระยะเอดส์ ผู้ติดเชื้อเอดส์จะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโรคฉวยโอกาส (Opportunistic Infections) ซึ่งเป็นโรคที่มักพบในผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น อาการอื่นๆ ของโรคเอดส์ ได้แก่

  • น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
  • อ่อนเพลียตลอดเวลา
  • ท้องเสียเรื้อรัง
  • มีผื่นขึ้นตามร่างกาย
  • เจ็บคอเรื้อรัง
  • ปวดศีรษะ
  • เหงื่อออกตอนกลางคืน
  • หนาวสั่น
  • ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
  • เบื่ออาหาร
  • สมองเสื่อม
  • ภาวะซึมเศร้า
  • ภาวะประสาทหลอน

 

การตรวจวินิจฉัยเอชไอวี

การตรวจเอชไอวีมีด้วยกันหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการตรวจและช่วงเวลาที่อาจได้รับเชื้อ โดยทั่วไปแล้ว การตรวจเอชไอวีสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่

การตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV)

การตรวจหาแอนติบอดีเอชไอวี (Antibody Test) เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อเอชไอวี ซึ่งร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเอชไอวี ประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อ การตรวจหาแอนติบอดีเอชไอวี จึงเป็นการตรวจที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี

การตรวจหาแอนติบอดีเอชไอวี มีด้วยกันหลายวิธี เช่น

  • Enzyme-Linked Immunosorbent Assay (ELISA) เป็นวิธีตรวจหาแอนติบอดีเอชไอวีที่พบได้บ่อยที่สุด มีประสิทธิภาพในการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี ได้ประมาณ 95% หลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 2-4 สัปดาห์
  • Western Blot เป็นวิธีตรวจหาแอนติบอดีเอชไอวีที่แม่นยำที่สุด มีประสิทธิภาพในการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี ได้ประมาณ 99% หลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 2-4 สัปดาห์
  • Rapid Test เป็นวิธีตรวจหาแอนติบอดีเอชไอวีแบบเร่งด่วน สามารถใช้ตรวจหาแอนติบอดีเอชไอวี ได้ภายใน 15-30 นาที มีประสิทธิภาพในการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี ได้ประมาณ 95% หลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 2-4 สัปดาห์

ผลการตรวจหาแอนติบอดีเอชไอวี แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  • ผลบวก หมายถึง พบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อเอชไอวี ซึ่งบ่งชี้ว่าติดเชื้อเอชไอวี
  • ผลลบ หมายถึง ไม่พบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อเอชไอวี ซึ่งบ่งชี้ว่าไม่ติดเชื้อเอชไอวี

หากผลการตรวจหาแอนติบอดีเอชไอวี เป็นบวก จะต้องตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันผลการตรวจ โดยอาจตรวจด้วยวิธีเดียวกันหรือตรวจด้วยวิธีอื่น เช่น การตรวจหาเชื้อเอชไอวีโดยตรง หากผลการตรวจหาแอนติบอดีเอชไอวี เป็นลบ แต่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ควรตรวจ HIV ซ้ำอีกครั้ง ภายใน 2-4 สัปดาห์ การตรวจหาแอนติบอดีเอชไอวี เป็นการตรวจที่มีความสำคัญในการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี หากสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อเอชไอวี ควรไปตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีเอชไอวีโดยเร็วที่สุด

การตรวจหาเชื้อเอชไอวีโดยตรง (Direct HIV Test)

  1. การตรวจหาโปรตีนของเชื้อ HIV (Antigen Test)
  2. การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ HIV (Nucleic Acid Amplification Test: NAT)

การตรวจ HIV แบบต่างๆ มีประสิทธิภาพในการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV แตกต่างกันไป การตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ HIV โดยทั่วไปจะมีประสิทธิภาพในการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV ได้ประมาณ 95% หลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 2-4 สัปดาห์ การตรวจหาเชื้อ HIV โดยตรง เช่น การตรวจหาโปรตีนของเชื้อ HIV หรือการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ HIV โดยทั่วไปจะมีประสิทธิภาพในการวินิจฉัยการติดเชื้อ HIV ได้ประมาณ 99% หลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 14 วัน

การป้องกันเชื้อเอชไอวี

การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีสามารถทำได้โดยวิธีต่างๆ ดังนี้

  • การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย โดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดหรือของเหลวในร่างกายที่ปนเปื้อนเชื้อเอชไอวี
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

นอกจากนี้ ผู้ที่สงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อเอชไอวี ควรไปตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวีโดยเร็วที่สุด หากตรวจพบเชื้อเอชไอวี จะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ซึ่งสามารถช่วยควบคุมปริมาณเชื้อเอชไอวีในร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคฉวยโอกาสได้

สรุปคือ การแพร่เชื้อเอชไอวีสามารถป้องกันได้ โดยปฏิบัติตามวิธีต่างๆ ข้างต้น ทุกคนควรตระหนักถึงความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเอชไอวี และปฏิบัติตามวิธีป้องกันอย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวี  บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวีและเอดส์อย่างครอบคลุม ด้วยการเข้าใจไวรัส การแพร่กระจาย พัฒนาการไปสู่โรคเอดส์ และความสำคัญของการป้องกัน และการสนับสนุน ให้ทุกคนสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองได้อย่างรอบคอบ การต่อสู้กับเอชไอวีไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการตระหนักรู้ส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความพยายามร่วมกันของชุมชนและสังคมด้วย การส่งเสริมการศึกษาละการตระหนักรู้อย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งสำคัญในการลดการแพร่กระจายและส่งเสริมประชากรโลกมีสุขภาพดี